“ชัยธวัช” ชี้ 2 นัยยะสำคัญสะท้อนการปลุกผี ITV สกัด “พิธา”

วันที่ 12 มิถุนายน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวปมหุ้นไอทีวี ว่า จากการรายงานข่าวของรายการข่าวสามมิติ ซึ่งมีข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก คือ ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ITV ประจำปี 2566 บริษัทไอทีวี จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท ITV ในประเด็นที่ว่า ITV ยังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ ซึ่งเอกสารบันทึกการประชุมฯ กลับบันทึกคำตอบของประธาน ไม่ตรงกับคำตอบตามคลิปการประชุมฯ

คำพูดจาก เว็บสล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้หลังจากมีการเปิดเผยรายงานการประชุมฯดังกล่าว นายเรืองไกร ได้นำเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในการยื่นต่อ กกต. ให้ตรวจสอบการถือหุ้น ITV ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

โดยก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าว พบว่านายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 ว่า นักการเมืองที่กำลังถือหุ้น ITV เตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้น และมอบตัวต่อ กกต.ด้วย หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น ซึ่งจากโพสต์ดังกล่าว ของนายนิกม์ ทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่ามีการวางแผนจะให้ นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นที่ได้รับโอนหุ้นมาจากนายนิกม์ และยังเป็นผู้จัดการคลินิกของครอบครัวนายนิกส์ ไปตั้งคำถามในการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อต้องการให้ผู้บริหาร ITV ตอบว่า ITV ยังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ แต่เมื่อนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในการประชุม ตอบว่า ตอนนี้ ITV ยังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่าปัจจุบัน ITV ยังดำเนินกิจการสื่ออยู่

ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมเท็จหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงจะผิดตามกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งเรื่องนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัท ITV และ นายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทานและแก้ไขกรประชุม ต้องตอบสังคมให้ชัดเจน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่า นายจิตชาย ยังเป็นผู้บริหารและสายงานกฎหมายและเลขานุการบริษัทอินทัช ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ITV อีกด้วย ทำให้มีคำถามว่าบริษัทอินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในข้อพิรุธ ที่นายพิธา เคยตั้งคำถามไว้ว่านี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพ ITV ให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชนใช่หรือไม่ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส.ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง วึ่งจะมีความผิดตาม มาตรา 143 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

ประการที่สอง คือ ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมฯ กับแบบนำส่งงบการเงิน ที่ ITV ยื่นต่อกรมธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 รวมถึงเอกสารงบไตรมาสแรกของปี 2566 ด้วย ซึ่งข้อพิรุธประการนี้ เมื่อมีการแก้ไขข้อความในบันทึกการประชุมฯ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงินของ ITV หรือไม่ เพราะแบบนำส่งงบการเงินดังกล่าวจะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจสื่อว่าเป็นสื่อโทรทัศน์ โดยมีสินค้าและบริการเป็นสื่อโฆษณาด้วย ซึ่งข้อความในแบบนำส่งงบการเงินดังกล่าว ขัดแย้งกับคำตอบของนายคิมห์ เมื่อมีผู้ถือหุ้นถามว่าเมื่อผลของคดีจบสิ้น บริษัทจะมีแผนดำเนินธุรกิจต่อไปหรือเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกหรือไม่ ซึ่งนายคิมตอบว่า ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท หากผลของคดียังไม่ออกมาเป็นไปได้ยากที่จะดำเนินการใดๆกับ ITV ในขณะนี้

ซึ่งคำตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 26 เมษายน 2566 ซึ่งนายคิมมิได้ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า ITV ประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นประธานบรัท ดังนั้นแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่าแบบนำส่งงบการเงินที่นำส่งในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 หลังการประชุมผู้ถือหุ้น จะระบุว่ารายได้ของ ITV มาจากสื่อโทรทัศน์ เป็นไปได้อย่างไร

จากข้อพิรุธนี้ยังทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบแสดงฐานะการเงินไตรมาสแรกปี 2566 ของ ITV เพราะในหมายเหตุประกอบงบการเงินดังกล่าวหน้าสุดท้าย ระบว่าเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทมีการเสนอการลงสื่อให้กิจการที่เกี่ยวข้องกัน และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณาจากการให้บริการจากกลุ่มบริษัท คำถามจึงเป็นไปได้อย่างไรที่ ITV จะมีรายได้จากการให้บริการโฆษณา เพราะประธานกรรมการบริษัทยังตอบผู้ถือหุ้นว่าบริษัทITV ยังไม่ดำเนินการใดๆ ต้องรอให้คดีสิ้นสุดก่อน และตอบในที่ประชุมว่ายังไม่มีการดำเนินการใดๆเกี่ยวกับสื่อ และหาก ITV มีแผนเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวจริง นายคิดต้องแจ้งต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ถึงความเป็นไปได้ในการที่จะมีแผนธุรกิจใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย

เรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นได้ว่า ทั้งพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และช่วงระยะเวลาในการเสนอแผนธุรกิจ มีความไม่สอดคล้องและขัดแย้งกันเอง กับสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้น การดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในการบันทึกรายงานการประชุมดังกล่าว ให้แตกต่างจากการตอบข้อซักถามตามคลิป จึงไม่น่าจะใช่ความผิดพลาดโดยบังเอิญ แต่เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่างๆที่ได้ตกแต่งแก้ไขขึ้นในภายหลังหรือไม่

ดราม่าร้อนฉ่า! ปมหุ้น ITV เปิดคลิปมัดคำตอบย้อนแย้งเอกสารฯ

อดีตคนไอทีวีสะเทือนใจ! หลังตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอีกครั้ง

“สมชัย” แนะดูให้รอบคอบ คลิปหุ้น ITV เหตุภาพสะดุด-มุมกล้องขยับ

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า สุดท้ายพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่าเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้อง รักษาเสียงของประชาชนไว้ให้ได้ แม้จะมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่ม ที่ต้องการใช้ประเด้นหุ้น ITV ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ให้ได้ ก่อนที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ พรรคก้าวไกลยังเชื่อว่าอำนาจประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และกกต.รวมถึงองค์กรอื่นๆจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์และยุติธรรม

ส่วนกรณีที่ กกต. อาจจะดำเนินคดีกับนายพิธา ตามความผิดตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.นั้น พรรคก้าวไกลมั่นใจว่าข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ เช่นเดียวกับคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

อย่างไรก็ตามคิดว่าเรื่องนี้ทำให้สังคมได้เห็นว่าไม่ใช่ความพยายามปกป้องเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองเข้าไปมีส่วนในการครอบงำสื่อมวลชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นขบวนการที่พยายามหาเงื่อนไขมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชน และอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องขบวนการปลุกผีITV โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายราย ทั้งนี้หากมีการสร้างเอกสารเท็จย้อนหลังหรือไม่ และคราวนี้โจทย์อาจจะกลายเป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องหาอาจจะกลายเป็นโจทย์ก็ได้

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลมีข้อมูลหรือไม่ว่าใครเกี่ยวกับขวนการนี้ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะกล่าวหาคนใดคนหนึ่ง แต่คิดว่าประชาชนสามารถคาดการณ์ได้จากพฤติการณ์ต่างๆว่าใครที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง ส่วนมีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ยังไม่ทราบ